วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

fc barcelona

  ข้อมูล ประวัติ สโมสร ทีม ฉายาบาร์เซโลน่า Barcelona


Barcelona
สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา (คาตาลัน: Futbol Club Barcelona) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า บาร์เซโลนา หรือคุ้นเคยในอีกชื่อว่า บาร์ซา (คาตาลัน: Barça) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพสเปน ตั้งอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เล่นอยู่ในลาลีกา

สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาเป็นผู้ชนะเลิศในถ้วยยุโรปและสเปนปัจจุบัน เป็นสโมสรสเปนที่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลสเปน ในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัลภายในประเทศและทุกถ้วย โดยชนะในการแข่งลาลีกา 21 ครั้ง ชนะในโกปาเดลเรย์ 25 ครั้ง ชนะในซูเปร์โกปาเดเอสปาญา 10 ครั้ง ชนะในโกปาเอบาดัวร์เต 3 ครั้ง และได้รางวัล โกปาเดลาลีกา 2 ถ้วย นอกจากนี้ยังเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุโรป โดยได้ชนะเลิศในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 4 ครั้ง, ชนะในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 4 ครั้ง ชนะในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 4 ครั้ง และชนะฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 1 ครั้ง พวกเขายังถือสถิติชนะในอินเตอร์-ซิตีส์แฟร์สคัป 3 ครั้ง ถ้วยต้นแบบของยูฟ่าคัพ

นอกจากนั้นยังเป็นสโมสรยุโรปสโมสรเดียวที่แข่งในฟุตบอลระหว่างทวีปในทุกฤดูกาลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 และเป็น 1 ใน 3 สโมสรที่ไม่เคยตกชั้นในลาลีกา ร่วมกับทีมแอทเลติกบิลบาโอและเรอัลมาดริด ในปี ค.ศ. 2009 เป็นสโมสรสเปนสโมสรแรกที่ได้ถือครองแชมป์ 3 รางวัล คือ ลาลีกา, โกปาเดลเรย์ และแชมเปียนส์ลีก และในปีเดียวกันนี้ยังเป็นสโมสรฟุตบอลสโมสรแรกที่ชนะในการแข่งขัน 6 รางวัลในปีเดียวกัน เพิ่มอีก 3 ถ้วยคือ ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ

ก่อตั้งในชื่อ ฟุตบอลคลับบาร์เซโลนา ใน ค.ศ. 1899 โดยกลุ่มของนักฟุตบอลสวิส อังกฤษ และ สเปน นำโดยชูอัง กัมเปร์ สโมสรถือเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมคาตาลันและนิยมคาตาลัน โดยมีคำขวัญทางการว่า "Més que un club" (แปลว่า มากกว่าสโมสร) ส่วนเพลงประจำสโมสรคือเพลง "กันต์เดลบาร์ซา" เขียนโดย เคาเม ปีกัส และ ชูเซบ มารีอา เอสปีนัส และที่แตกต่างจากสโมสรอื่นคือ ผู้สนับสนุนทีมเป็นเจ้าของและบริหารทีมบาร์เซโลนา ถือเป็นสโมสรฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 ในด้านของรายได้ ที่มีรายได้ประจำปี 398 ล้านยูโร[2] สโมสรยังเป็นคู่ปรับอันยาวนานกับเรอัลมาดริดและนัดการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้เรียกว่า "เอลกลาซีโก"

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1899 ฮันส์ กัมเปร์ ได้ลงประกาศโฆษณาใน โลสเดปอร์เตส ว่ามีความต้องการที่จะก่อตั้งสโมสรฟุตบอล โดยได้รับการตอบรับอย่างดีในการนัดพบกันที่คิมนาเซียวโซเล เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยมีผู้เล่น 11 คนมาร่วมได้แก่ วอลเตอร์ ไวลด์ (ผู้บริหารคนแรกของสโมสร), ลุยส์ ดีออสโซ, บาร์โตเมว เตร์ราดัส, ออตโต กุนเซิล, ออตโต แมเยอร์, เอนริก ดูกัล, เปเร กาบอต, กาเลส ปูคอล, ชูเซป โยเบต, จอห์น พาร์สันส์ และ วิลเลียม พาร์สัน ทำให้ ฟุตบอลคลับบาร์เซโลนา ก็ถือกำเนิดขึ้นมา[3]

สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประสบความสำเร็จในช่วงแรกกับการแข่งขันถ้วยท้องถิ่นและระดับชาติ ได้ลงแข่งในกัมเปียนัตเดกาตาลันและถ้วยโกปาเดลเรย์ ในปี ค.ศ. 1902 สโมสรชนะถ้วยแรกในถ้วยโกปามากายา และร่วมลงแข่งในโกปาเดลเรย์ครั้งแรก แต่แพ้ 1–2 ให้กับบิซกายา ในนัดชิงชนะเลิศ[4] กัมเปร์ได้เป็นประธานสโมสรในปี ค.ศ. 1908 แต่สโมสรมีปัญหาด้านการเงินเนื่องจากไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ตั้งแต่กัมเปียนัตเดกาตาลัน ในปี ค.ศ. 1905 เขาเป็นประธานสโมสรใน 5 วาระในระหว่างปี ค.ศ. 1908 ถึง 1925 รวม 25 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร หนึ่งในความสำเร็จคือการทำให้สโมสรมีสนามกีฬาของตัวเอง ทำให้มีรายได้ที่มั่นคง[5]

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1909 สโมสรได้ย้ายไปสนามกัมป์เดลาอินดุสเตรีย ที่มีที่นั่งจุ 8,000 คน จากปี ค.ศ. 1910 ถึง 1914 บาร์เซโลนาได้ร่วมลงแข่งในถ้วยพิเรนีส ที่ประกอบด้วยทีมที่ดีที่สุดของล็องด็อก, มีดี, อากีแตน (ฝรั่งเศสใต้), บาสก์ และ คาเทโลเนีย ในเวลานั้นถือเป็นการแข่งขันที่ดีที่สุดที่เปิดให้เข้าแข่งขัน[6][7] ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สโมสรได้เปลี่ยนภาษาอย่างเป็นทางการของสโมสรจากภาษาคาสติเลียนสเปน (Castilian Spanish) เป็นภาษาคาตาลัน และค่อย ๆ เพิ่มความสำคัญให้กับสัญลักษณ์ที่สำคัญของอัตลักษณ์คาตาลัน เพื่อให้แฟนที่สนับสนุนสโมสรแต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรระหว่างการแข่งขันและเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์กลุ่มของสโมสร[8]

กัมเปร์ได้รณรงค์หาสมาชิกสโมสรเพิ่ม และในปี ค.ศ. 1922 สโมสรมีสมาชิกมากกว่า 20,000 คนและมีฐานะการเงินเพียงพอที่จะสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ สโมสรได้ย้ายไปเลสกอตส์ โดยเปิดสนามใหม่ในปีเดียวกันนี้[9] เดิมทีเลสกอตส์จุผู้ชมได้ 22,000 คน และต่อมาขยายเพิ่มเป็น 60,000 คน[10] แจ็ก กรีนเวลล์ เป็นผู้จัดการเต็มเวลาคนแรกของสโมสรและสโมสรได้เริ่มต้นพัฒนา ในช่วงระหว่างยุคของกัมเปร์ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาชนะถ้วยกัมเปียนัตเดกาตาลัน 11 ครั้ง ถ้วยโกปาเดลเรย์ 6 ครั้ง และถ้วยพิเรนีส 4 ครั้ง ถือเป็นยุคทองยุคแรกของสโมสร[4][5]
 

z800

[

[Z]Kawasaki Z800 คาวาซากิ ซี800 ราคา ตารางผ่อน ดาวน์ อัพเดท 2016

24
644344
kawasaki z800
Kawasaki Z800 ที่สุดของ Street-Fight จากทาง Kawasaki ออกแบบมาเพื่อที่สุดของการขับขี่สุดเร้าใจในสไตล์ของคุณ สนนราคาอยู่ที่ 375,000 บาท มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16วาล์ว 806 cc เต็มที่กับเกียร์ 6 speed จ่ายเชื้อเพลงแบบหัวฉีด และความจุถังน้ำมันถึง 17 ลิตร มาพร้อมกับ 2 สี ให้เลือกคือ สีดำ และสีส้ม
z800
รายละเอียด Kawasaki Z800
kawasaki z800 ราคา 375,000 บาท
สีที่มีให้เลิอก(ในไทย): สีดำ สีส้ม
สามารถหาซื้อได้ตามโชว์รูมคาวาซากิทั่วประเทศ
อัพเดทราคาและสีล่าสุด Kawasaki Z800 ปี 2015-2016 
ตารางราคาผ่อน ดาวน์ Kawasaki Z800
ตารางผ่อน ดาวน์ kawasaki z800
Kawasaki Z800 สีดำ&สีส้ม
สี z800
อัพเดทเพิ่มสี สีน้ำเงิน & สีขาว
z800_blue
z800_white
Specification Kawasaki Z800
เครื่องยนต์4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรกระบอกสูบ806 cc.
ระบบวาล์วDOHC 16 วาล์ว
ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก71.0 มม.x 50.9 มม.
อัตราส่วนการอัด11.9:1
ระบบเกียร์6 เกียร์
ระบบจุดระเบิดดิจิตอล
ระบบจ่ายเชื้อเพลิงระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีด
ระบบสตาร์ทไฟฟ้า
ระบบคลัชแบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน
ขนาดยางหน้า120/70ZR17M/C (58W)
ขนาดยางหลัง180/55ZR17M/C (73W)
โช้คอัพหน้าโช้คหน้าหัวกลับ 41 มม. ปรับ preload และ rebound ได้
โช๊คอัพหลังโช้คหลังแก๊ส Uni-Trak ปรับ preload และ rebound ได้
เบรคหน้าดิสก์คู่ขนาด 310 มม. ปั้มเบรก 4 ลูกสูบ
เบรคหลังดิสก์เดี่ยว 250 มม. ปั้มเบรก 1 ลูกสูบ
ยาว x กว้าง x สูง2,100 mm.x800 mm.x1,050 mm. —
ระยะฐานล้อ1,440 mm.
ความสูงใต้ท้องรถ150 mm.
ความสูงเบาะ834 mm.
น้ำหนักรถ229 kg.
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง17 ลิตร
อัพเดทล่าสุดสำหรับแฟน Z800 โดยเฉพาะ Kawasaki ได้เปิดตัว New Kawasaki Z800 & Z1000 Sugomi Edition รุ่นพิเศษที่ออกแบบให้ดูเท่ห์ดุดันกว่าเดิมเรียกว่าจัดเต็มกันเลย ส่วนจะเทห์แค่ไหนเรามีภาพและคลิปตัวอย่างมาฝากกันด้วย
z800 & z1000 sugomi edition 2016

neymar

เนย์มาร์ ประวัติกองหน้าทีมบราซิล ดาวจรัสแสงในฟุตบอลโลก 2014

 วันพฤหัสบดี 19 มิถุนายน 2557 |  35454.

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หากใครที่เป็นคอบอล หรืออาจจะเพิ่งติดตามฟุตบอลโลก 2014 คงจะคุ้นหูกับชื่อของ เนย์มาร์ ยอดกองหน้าทีมชาติบราซิล ที่มีลีลาที่โดดเด่น ทั้งความเร็ว เทคนิค และความสามารถเฉพาะตัวนั้น คือว่าหาตัวจับได้ยาก และในฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ เนย์มาร์เองก็ดูเหมือนจะกลายเป็นดาวจรัสแสงที่มีแต่คนกล่าวถึง และเป็นความหวังที่จะพาทีมบราซิลคว้าแชมป์โลกให้ได้ วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็มีประวัติของเนย์มาร์ มาฝากกันค่ะ

ภาพจาก PEDRO UGARTE / AFP
 

ประวัติชีวิตของเนย์มาร์

          เนย์มาร์ มีชื่อเต็มคือ เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซานโตส จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล โดยมีคุณพ่อเนย์มาร์ ซีเนียร์ ซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอล คอยเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอลและเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญ เนย์มาร์มีน้องสาว 1 คน เขาสูง 175 เซนติเมตร

          ในปี พ.ศ. 2542 เนย์มาร์ ได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง เซา วิเซนเต้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลเยาวชนให้กับทีม Portuguesa Santista จากนั้นเนย์มาร์จึงย้ายไปเล่นฟุตบอลเยาวชนให้กับทีมที่ใหญ่กว่าอย่างทีมซานโตส (Santos) โดยเขาเริ่มเซ็นสัญญากับทีมซานโตสในปี พ.ศ. 2546 และได้เข้าร่วมเล่นฟุตบอลในทีมเยาวชน ซึ่งทีมนี้เคยเป็นแหล่งผลิตนักฟุตบอลชื่อดังมากมายอย่าง คูติญโญ่, เปเล่, โรบินโญ่ เรียกว่าประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว

          เมื่ออายุ 14 ปี เขาก็ได้มีโอกาสเดินทางไปสเปนเพื่อเล่นฟุตบอลกับทีมเรอัล มาดริด ที่ในตอนนั้นมีซูเปอร์สตาร์ล้นทีมอย่าง ซีดาน, เบ็คแฮม, โรแบร์โต้ คาร์ลอส  ต่อมา เมื่ออายุ 15 ปี เนย์มาร์ก็มีรายได้จากการเล่นฟุตบอลถึงเดือนละ 10,000 รีล (ประมาณ 1.4 แสนบาท) และเมื่ออายุ 16 ปี เงินเดือนของเนย์มาร์ก็ขยับมาที่ 125,000 รีล (1.8 แสนบาท)

 
ภาพจาก YURI CORTEZ / AFP


เนย์มาร์ บนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ

          เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2552 เนย์มาร์ ได้ลงประเดิมสนามเป็นครั้งแรกในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกับทีมซานโตส ทั้งที่เขาเพิ่งจะมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น ซึ่งเนย์มาร์ก็สามารถสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างมากในฤดูกาลแรก เขาสามารถพังประตูได้ถึง 14 ประตูจากการลงสนาม 48 นัด และในฤดูกาลต่อมา เนย์มาร์ก็สามารถพาทีมซานโตสเถลิงชัยคว้าฟุตบอลลีกในประเทศได้สำเร็จ และเขาก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลอีกด้วย ซึ่งจากผลงานทำประตู 42 ประตูใน 60 เกม ในช่วง 2 ฤดูกาลแรก จึงทำให้ทีมหลาย ๆ ทีมในอังกฤษ ทั้งเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และทีมเชลซี ต่างสนใจในตัวของเนย์มาร์ และเสนอเงินก้อนโตให้เขาไปร่วมทีม แต่เนย์มาร์ก็ยังยืนยันที่จะอยู่กับทีมซานโตสต่อไป

ภาพจาก JOSEP LAGO / AFP


ความสำเร็จบนเส้นทางนักฟุตบอลของเนย์มาร์

          ในปี พ.ศ. 2554 เนย์มาร์สามารถพาทีมซานโตส คว้าถ้วยแชมป์ Copa Libertadores เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ พ.ศ. 2506 จนทำให้มีข่าวว่า ทีมเรอัล มาดริด สนใจที่จะดึงตัวเนย์มาร์ไปอยู่ด้วย และพร้อมที่จะเซ็นสัญญาล่วงหน้าทันที จนทำให้ประธานสโมสรซานโตส ตัดสินใจขยายสัญญากับเนย์มาร์ออกไป ในปีเดียวกันนี้ เนย์มาร์ยังได้รับรางวัล FIFA Puskas Award ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับลูกยิงสุดสวยในแต่ละฤดูกาล และเขายังได้รับรางวัล นักฟุตบอลดีเด่นของทวีปอเมริกาใต้ ประจำปี พ.ศ. 2554 อีกด้วย

          ต่อมา ในปี พ.ศ. 2555 เนย์มาร์สามารถพาทีม ซานโตส คว้าถ้วยแชมป์ฟุตบอลลีกได้อีกครั้ง เขาพังประตูไปได้ถึง 20 ประตูและได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลและกองหน้ายอดเยี่ยม อีกครั้งยังมีชื่อเข้าชิงรางวัล  2012 FIFA Puskas Award และได้รับรางวัล นักฟุตบอลดีเด่นของทวีปอเมริกาใต้ ประจำปี พ.ศ. 2555 ซึ่งในปีนี้ ก็มีข่าวออกมาว่า ทางสโมสรซานโตส ได้ตัดสินใจที่จะขายเนย์มาร์ ให้กับยอดทีมจากสเปนอย่างทีม บาร์เซโลน่า แล้ว แต่เนย์มาร์ก็ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว จนกระทั่งวันที่ 25 เมษายน 2556 ที่คุณพ่อและตัวแทนของเนย์มาร์ได้ออกมาเผยว่า เนย์มาร์ได้ย้ายไปอยู่กับทีมบาร์เซโลน่า และสุดท้าย ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2556 เนย์มาร์ก็ได้กล่าวอำลาทีมซานโตสทั้งน้ำตา เพื่อที่จะไปตามล่าฝันที่ประเทศสเปน

ภาพจาก LLUIS GENE / AFP

pes2017

FIFA 17 vs PES 2017
(ภาพจาก http://pesgameplay.com/)
ศึกดวลแข้งระหว่างสองมหาอำนาจเกมลูกหนังในปีนี้กำลังจะระเบิดขึ้นอีกครัั้ง ระหว่าง FIFA 17 vs PES 2017 โดยที่ฝ่ายแรกเกมยังไม่ออกวางขายมีกำหนดออกในวันที่ 27 กันยายน 2016 นี้ ในขณะที่ฝ่ายหลังเกมออกมาให้เล่นกันแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2016 ที่ผ่านมา แต่ทั้งสองเกมก็ได้มีการรีวิวจากหลายสื่อเกมชื่อดังของโลกไปบ้างแล้ว เราจะมาดูกันว่าผลการรีวิวของทั้งสองเกมฝ่ายไหนจะเหนือกว่ากันอย่างไรบ้าง
IGN ให้คะแนนรีวิว PES 2017 9.5/10 และให้คะแนนรีวิว FIFA 17 8.4/10
ผลคะแนนค่อนข้างต่างกันพอสมควร ซึ่งทาง IGN ให้คะแนนสูงกับทาง PES 2017 ด้วยจุดเด่นที่เกมเพลย์และระบบ AI ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากกว่า โดย AI ของ PES 2017 ค่อนข้างฉลาดกว่ามากเมื่อเทียบกับ FIFA 17 ที่ AI ยังมีความผิดพลาดอยู่บ่อย ซึ่งความฉลาดของ AI นี้ยังส่งผลทำให้ตัวเกมเพลย์สนุกขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการส่งลูกหรืออื่นๆ AI ของ PES จะตอบสนองได้ดีกว่า แถมโหมดออนไลน์ก็ทำได้ดีกว่าด้วยเช่นกัน ส่วนทางด้านของ FIFA 17 ก็มีข้อดีกว่าตรงลิขสิทธิ์ทีมและโหมดการเล่นที่มีโหมด Story มาให้ท้าทายกัน แต่ถ้าเรื่องเกมเพลย์ IGN ฟันธงให้ PES 2017
FIFA 17 vs PES 2017
FIFA 17 vs PES 2017
DIGITALSPY ให้คะแนนรีวิว PES 2017 4.5/5 และให้คะแนนรีวิว FIFA 17 4/5
เว็บนี้จั่วหัวรีวิวเลยว่า FIFA 17 Not as good as PES ฟันธงตั้งแต่เริ่มเลยว่า PES 2017 ดีกว่า โดยทางเว็บติ FIFA 17 ในเรื่องของเกมเพลย์เช่นกันว่าไม่มีอะไรพัฒนาในเรื่องของเกมเพลย์เลย มีเพียงตัวเกมรู้สึกเร็วขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับฝั่ง PES 2017 ที่พัฒนาระบบเกมเพลย์และ AI ขึ้นมาได้ดีมากๆ สิ่งที่ FIFA 17 เพิ่มมาก็มีเพียงโหมดใหม่ และกราฟิกที่สวยขึ้นจาก Frosbite Engine เท่านั้นเอง
FIFA 17 vs PES 2017
FIFA 17 vs PES 2017
GAMESRADAR ให้คะแนนรีวิว PES 2017 4.5/5 และให้คะแนนรีวิว FIFA 17 4.5/5
ที่เว็บนี้ให้คะแนนกับเกมฟุตบอลทั้สองเท่ากัน โดยให้เหตุผลว่า แต่ละเกมก็มีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน ก็ให้แฟนๆเกมฟุตบอลเลือกเกมที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยยกข้อดีของ PES 2017 ว่าอยู่ที่เกมเพลย์เช่นกัน เป็น PES ภาคที่ทำระบบเกมเพลย์ออกมาได้ดีสุดเท่าที่เคยทำมา AI ผู้รักษาประตูทำออกมาได้เยี่ยม โหมด Master League นำกลับมาได้สุดยอด ส่วนข้อเสียของ PES 2017 ก็ยังคงเดิมคือเรื่ององค์ประกอบเกมที่ขาดลิขสิทธิ์ ทางด้าน FIFA 17 ก็มีข้อดีในเรื่องของกราฟิกที่สวยขึ้นจากเอนจิ้นใหม่ มีโหมดการเล่นใหม่อย่าง The Journey ที่ทำได้ดี Ultimate Team ก็ยังคงเป็นจุดเด่นอยู่ ส่วนข้อเสียก็เรื่องของเกมเพลย์
FIFA 17 vs PES 2017
FIFA 17 vs PES 2017
3DJUEGOS ให้คะแนนรีวิว PES 2017 8.5/10 และให้คะแนนรีวิว FIFA 17 9.0/10
สื่อเกมจากสเปนรายนี้ให้คะแนน FIFA มากกว่า โดยชม PES 2017 ว่าพัฒนาในเรื่องของเกมเพลย์ขึ้นมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงบอล ส่งบอล การโหม่งทำได้ดีขึ้นกว่าภาคก่อนมาก แต่เสียตรงที่กราฟิกไม่ได้พัฒนาขึ้น ตัวผู้รักษาประตูแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง และที่สำคัญก็คือเรื่องลิขสิทธิ์ทีมยังน้อยไป ส่วน FIFA 17 สื่อเจ้านี้ชอบที่เกมมีความหลากหลาย มีโหมดให้เล่นมากมาย มีรายละเอียดการวางแผน จัดทีม หรืออื่นๆเยอะกว่า ประมาณแทบจะเป็นเกม Sims ฟุตบอลเลย นอกจากนี้กราฟิกก็ดูดีขึ้นมากด้วย

ราคาs1000rr

Home / มอเตอร์ไซค์ / BMW / ราคา BMW S 1000 RR 2016-2017 บิ๊กไบค์สายพันธุ์ Super Sport ตัวจริง

ราคา BMW S 1000 RR 2016-2017 บิ๊กไบค์สายพันธุ์ Super Sport ตัวจริง

093014-2015-bmw-s1000rr-P90161946_highRes-583x389
BMW S 1000 RR สปอร์ตไบค์สุดโดดเด่นด้วยสีทูโทน ซึ่งในรุ่นปี 2014 ทางค่ายบีเอ็มดับเบิลยูได้จับคู่สีใหม่ ได้แก่ สีเทาแกรนิตด้านเน้นความขรึม สีขาวอัลไพน์ 3 จับคู่กับสีแดงสุดสปอร์ต สีขาวอัลไพน์อารมณ์เรียบเท่ และสีดำแซฟไฟร์ให้ความโฉบเฉี่ยว
093014-2015-bmw-s1000rr-P90162157_highRes-583x389
ราคา 2016-2017 BMW S 1000 RR บีเอ็มดับเบิลยู เอส 1000 อาร์อาร์ ใหม่
ยี่ห้อ/รุ่นเครื่องยนต์ปริมาตร ซี.ซี.ระบบเกียร์ราคาจำหน่าย(บาท)
BMW S 1000 RR4 จังหวะ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ9996 สปีด980,000

โปรแกรมคำนวณเงินผ่อนรถ

093014-2015-bmw-s1000rr-P90162330_highRes-518x389
BMW S 1000 RR มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ 4 ลูกสูบ 16 วาล์ว DOHC ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดความจุ 999 ซีซี. แรงม้าสูงสุด 193 แรงม้า (142 กิโลวัตต์) ที่ 13,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 112 นิวตันเมตร ที่ 9,750 รอบต่อนาที กำลังอัด 13.0 : 1 ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก 80 × 49.7 มม. ระบบจุดระเบิดและหัวฉีดแบบ Electronic injection, digital engine electronics with integrated knock control (BMS-KP)
2014-BMW-S-1000-RR-1
บีเอ็มดับเบิลยู เอส 1000 อาร์อาร์ มาพร้อมกับเทคโนโลยี ระบบ Dynamic traction-Control (DTC) ควบคุมการทำงานให้สัมพันธ์กันระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง , ระบบช่วยในการทรงตัว Automatic Stability Control (ASC), ระบบ Dynamic Damping Control (DDC) ที่ช่วยปรับการทำงานของช่วงล่างในเหมาะสมกับการขับขี่ โดยทุกระบบสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
093014-2015-bmw-s1000rr-P90162326_highRes-518x389
S 1000 RR ระบบกันสะเทือน โช๊คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิคหัวกลับขนาด 46 มม. ปรับตั้งค่าได้ ด้านหลังโช๊คอัพเดี่ยวแบบพรีโหลดเช่นเดียวกัน ทั้งสองข้างจะทำงานพร้อมกับระบบ DDC ซึงจะทำให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้นและปลอดภัยมากกว่าเดิม
ข้อมูลทางด้านเทคนิค BMW S 1000 RR
2014-BMW-S-1000-RR-5
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 4 ลูกสูบ 16 วาล์ว
ขนาดความจุ 999 ซีซี.
ระบบระบายความร้อน ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก 80 × 49.7 มม.
กำลังอัด 13.0 : 1
แรงม้าสูงสุด 193 แรงม้าที่ 13,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 112 นิวตันเมตรที่ 9,750 รอบ/นาที
ระบบกันสะเทือน
– ด้านหน้า โช๊คอัพเทเลสโคปิคหัวกลับ ขนาด 48 มม.
– ด้านหลัง โช๊คอัพเดี่ยวปรับตั้งค่าได้
ระบบเบรค
– ด้านหน้า จานเบรคคู่ขนาด 320 มม. คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ ABS
– ด้านล่าง จานเบรคคู่ขนาด 220 มม. คาลิเปอร์ 1 ลูกสูบ ABS
s1000rr_accessories_carbon_chainguard
ยาง
– หน้า 120/70 ZR 17
– หลัง 190/55 ZR 17
มิติตัวรถ
– ยาว 2,056 มม.
– กว้าง 826 มม.
– สูง 1,138 มม.
– ความสูงจากเบาะนั่ง 820 มม.
น้ำหนักตัวรถ 202 กก.
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 17.5 ลิตร
ส่วนในรุ่นปี 2015 BMW S 1000 RR นั้นมาพร้อมการปรับโฉมเพิ่มความสดใหม่และอัพเกรดระบบขับเคลื่อน รวมถึงการติดตั้งฟีเจอร์สำคัญอื่นๆ เพิ่มเติม
2015-bmw-s1000rr-pic-image-photo-zigwheels-motorcycle-30092014-m2_560x420
หน้าตาภายนอกของ BMW S 1000 RR ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกที่งาน 2014 Intermot ในเมืองโคโลญของเยอรมนีถูกปรับแต่งเพิ่มเติมหลายจุด อย่างกรอบไฟ ช่องดักอากาศและโครงตัวถังภายนอก ส่วนด้านท้ายรถติดตั้งท่อไอเสียที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
หัวใจขับเคลื่อนยังคงเป็นขุมพลัง 4 สูบเรียง ความจุ 999 ซีซี แต่ทาง BMW ทำการปรับฝาสูบใหม่ เปลี่ยนแคมชาฟท์ไอดีและติดตั้งวาล์วไอดีที่มีน้ำหนักเบากว่าเดิมช่วยเพิ่มพละกำลังอีก 6 แรงม้าเป็น 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 113 นิวตันเมตร
วิศวกรของค่ายรถเยอรมันยังปรับแชสซีส์ใหม่ ใช้เฟรมที่มีน้ำหนักเบาลงซึงเพิ่มความยืดหยุ่นและรองรับการขับขี่ที่ความเร็วสูง น้ำหนักตัวรถโดยรวมเบากว่าเดิม 4 กก. นอกจากนี้ยังปรับฐานล้อ มุมองศาแฮนด์และมิติของแชสซีสใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมตัวรถ
2015-bmw-s1000rr-pic-image-photo-zigwheels-motorcycle-30092014-m1_560x420
BMW S 1000 RR ยังได้รับการติดตั้งระบบช่วงล่าง Dynamic Damping Control (DDC) อิเล็กทรอนิกแบบเดียวกับรุ่นแฟล็กชิพอย่าง HP4

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

ประวัติส่วนตัว


 ผมชื่อ นาย พิทยา  บุญนำ ม5/1 เลขที่17 โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคม เกิดวันที่2 ธันวาคม 2542
 บ้านโพนเขวา อำเภอเมือง ตำบลโพนเขวา จังหวัดศรีสะเกษ อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 40/1


ประวัติโรงเรียน


โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคม  ตั้งขึ้นเมื่อวันที่  20  พฤษภาคม  พ.ศ.  2523  เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา  เมื่อแรกตั้งสังกัดกรมสามัญศึกษา  กระทรวงศึกษาธิการ

  ปัจจุบันสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 (ศรีสะเกษ-ยโสธร) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิดสอนนักเรียนแบบสหศึกษา รับนักเรียนทั้งชายและหญิง  มีเนื้อที่ 73 ไร่  2 งาน สถานที่ตั้ง เลขที่170 หมู่ 8 ถนนศรีสะเกษ–อุบล ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 33000

          ชื่อโรงเรียน “ไกรภักดีวิทยาคม” ตั้งชื่อตามนามของเจ้าเมืองซึ่งปกครองจังหวัดศรีสะเกษคนแรกคือ “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน”  จึงเป็นที่มาของชื่อ “โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคม” เมื่อเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนภาคเรียนที่ 1

ปีการศึกษา 2523  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีครู 6 คน  นักเรียน 80 คน และนักการภารโรง 1 คน  ได้ขอใช้อาคารเรียน

ของโรงเรียน หนองตะมะเป็นสถานที่ทำการเรียนการสอน

ต่อมาในปีการศึกษา 2523 ภาคเรียนที่ 2  จึงสร้างอาคารเรียนชั่วคราวหลังแรก และทำการเรียนการสอนในพื้นที่โรงเรียนไกรภักดีวิทยาคมจนถึงปัจจุบัน


พระราชประวัติในหลวง รัชกาลที่ 9

พระราชประวัติในหลวง รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันพระราชสมภพ การศึกษา การขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระบรมราชาภิเษก ในหลวงทรงพระผนวช รวมถึงพระอัจฉริยภาพของในหลวงด้านต่างๆ
ในหลวง - King of Thailand
ในหลวง - King of Thailand
 ทรงพระราชสมภพ 

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์

ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น (MOUNT AUBURN) รัฐแมสซาชูเซตส์ (MASSACHUSETTS) ประเทศสหรัฐอเมริกา


 การศึกษา 

        เมื่อพระชนมายุได้ 5 พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (MERRIMENT) เมืองโลซานน์ (LASAGNA) ในปี พ.ศ. 2478 ได้ทรงเข้าศึกษาต่อที่ CEDE NOUBELLE DE LA SUES ROMANCE CHILLY ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติและทรงได้รับประกาศนียบัตร บาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษาดังกล่าว ทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ละติน ในระดับอุดมศึกษาทรงเข้าศึกษาใน แผนกวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมืองโลซานน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้เสด็จนิวัติกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมเชษฐาธิราช พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าพี่นางเธอ


 ครองราชย์ 

        ขณะที่พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระชนมพรรษา 18 พรรษา รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนนั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และรัฐบาลได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ บริหารราชการแผ่นดินแทนพระองค์ เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ และต้องทรงศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ

         เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ แม้พระองค์จะทรงโปรดวิชาวิศวกรรมศาสตร์ แต่เพื่อประโยชน์ในการปกครองประเทศได้ทรงเปลี่ยนมาศึกษาวิชาการปกครองแทน เช่น วิชากฎหมาย อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นอกจากนี้ ทรงศึกษา และฝึกฝนการดนตรีด้วยพระองค์เองด้วย

        ใน พ.ศ. 2491 ระหว่างทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงขับรถยนต์ไปทรงร่วมงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้ทรงพบและมีพระราชหฤทัยสนิทเสน่หาในหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส

        ในปีเดียวกันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง ทรงบาดเจ็บที่พระพักตร์ พระเนตรขวา และพระเศียร ทรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมอร์เซส์ โปรดฯ ให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มาเฝ้าฯ ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดพระสัมพันธภาพจึงแน่นแฟ้นขึ้น และต่อมาได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2492 โดยได้พระราชทานพระธำมรงค์วงที่สมเด็จพระบรมราชชนกหมั้นสมเด็จพระราชชนนี

        สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงได้รับการอภิบาลอย่างดียิ่งจากสมเด็จพระราชชนนี จึงมีพระปรีชาสามารถปราดเปรื่องและมีพระจริยวัตรเปี่ยมด้วยคุณธรรมทุกประการ ซึ่งน้อมนำให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงสิริราชสมบัติเพียบพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรธรรม และราชสังคหวัตถุ ทรงเจริญด้วยพระเกียรติคุณบุญญาธิการเจิดจำรัส ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อประโยชน์สุขของปวงชน เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญทุกทิศานุทิศในเวลาต่อมาตราบจนปัจจุบัน 


 พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 

        เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2493 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย โปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2493 และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส กับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ที่วังสระปทุม โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานหลั่งน้ำพระมหาสังข์ ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน และได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

        หลังจากนั้น ได้เสด็จไปประทับพักผ่อน ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และที่นี่เป็นแหล่งเกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแรกคือ พระราชทาน “ถนนสายห้วยมงคล” ให้แก่ “ลุงรวย” และชาวบ้านที่มาช่วยกันเข็นรถพระที่นั่งขึ้นจากหล่มดิน ทั้งนี้เพราะแม้ “ห้วยมงคล” จะอยู่ห่างอำเภอหัวหิน เพียง 20 กิโลเมตร แต่ไม่มีถนนหนทาง ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตมาก ถนนสายห้วยมงคลนี้จึงเป็นถนนสายสำคัญที่นำไปสู่โครงการในพระราชดำริ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่พสกนิกรอีกจำนวนมากกว่า 2,000 โครงการในปัจจุบัน


 พระบรมราชาภิเษก 

        วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณขัตติยราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระมหาราชวัง เฉลิมพระปรมาภิไธยตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า

        “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” และได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการเป็นสัจวาจาว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”

        ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระอัครมเหสีเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

        วันที่ 5 มิถุนายน 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ไปยังสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อทรงรักษาพระสุขภาพ และเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร เมื่อ 2 ธันวาคม 2494 ประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระที่นั่งอัมพรสถาน


        ทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดา และพระราชโอรส 4 พระองค์ดังนี้

        1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อ 5 เมษายน 2494 ณ โรงพยาบาลมองซัวนี่ โลซานน์
        2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ประสูติเมื่อ 28 กรกฎาคม 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมา ทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ 28 กรกฎาคม 2515
        3. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลนโสภาคย์ ประสูติเมื่อ 2 เมษายน 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ภายหลังทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2520
        4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อ 4 กรกฎาคม 2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน


 ทรงพระผนวช 

        เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ปฏิบัติพระศาสนกิจ เป็นเวลา 15 วัน ระหว่างนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

        ในรัชกาลนี้ได้ทรงพระกรุณาสถาปนาพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมชนกนาถขึ้นเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงสถาปนา สมเด็จพระราชชนนี เป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และทรงประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลใหม่ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2539 เพื่อให้สมพระเกียรติตามโบราณขัตติยราชประเพณี ทั้งนี้ด้วยพระจริยวัตรอันเปี่ยมด้วยพระกตัญญูกตเวทิตาธรรมอันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญพระปรมาภิไธยใหม่ที่ทรงสถาปนาคือ

        “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติวงศวิสุทธ์ วรุตมขัตติยศักตอรรคอุดม จักรีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรมอุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิหารรังสฤษฏ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณอดุลพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตร โสภาคย์สรรพางค์ มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฏลเศวตฉัตราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ วิศิษฏศักตอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”


 พระราชกรณียกิจ 

        ตั้งแต่พุทธศักราช 2502 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ เอเชีย และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทุกภาคทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎรในชนบทที่ดำรงชีวิตด้วยความยากจน ลำเค็ญและด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทางแก้ปัญหาตลอดมาตราบจนปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทยที่รอยพระบาทได้ประทับลง ได้ทรงขจัดทุกข์ยากนำความผาสุกและทรงยกฐานะความเป็นอยู่ของราษฎร ให้ดีขึ้นด้วยพระบุญญาธิการและพระปรีชาสามารถปราดเปรื่อง พร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของราษฎร และเพื่อความเจริญพัฒนาของประเทศชาติตลอดระยะเวลาโดยมิได้ทรงคำนึงประโยชน์สุขส่วนพระองค์เลย

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโครงการนานัปการมากกว่า 2,000 โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ทั้งยังทรงขจัดปัญหาทุกข์ยากของประชาชนในชุมชนเมือง เช่น ทรงแก้ปัญหาการจราจรอุทกภัยและปัญหาน้ำเน่าเสียในปัจจุบัน ได้ทรงริเริ่มโครงการการช่วยสงเคราะห์ และอนุรักษ์ช้างของไทยอีกด้วย

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามทรงพระประชวร ก็มิได้ทรงหยุดยั้งพระราชดำริเพื่อขจัดความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร กลางแดดแผดกล้าพระเสโทหลั่งชุ่มพระพักตร์ และพระวรกายหยาดตกต้องผืนปฐพีประดุจน้ำทิพย์มนต์ชโลมแผ่นดินแล้งร้าง ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชตราบจนปัจจุบัน

        แม้ในยามประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ก็ได้พระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้พึ่งตนเอง ใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดประกอบอาชีพอยู่กินตามอัตภาพซึ่งราษฎรได้ยึดถือปฏิบัติเป็นผลดีอยู่ในปัจจุบัน


 พระอัจฉริยภาพ 

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความรักอันยิ่งใหญ่แก่อาณาประชาราษฎร์ พระราชภารกิจอันหนักเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์เทิดทูนพระเกียรติคุณทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลก จึงทรงได้รับการสดุดีและการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมากทุกสาขาวิชาการ ทั้งยังมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีอย่างสูงส่ง ทรงพระราชนิพนธ์เพลงอันไพเราะนับแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวม 47 เพลง ซึ่งนักดนตรีทั้งไทย และต่างประเทศนำไปบรรเลงอย่างแพร่หลาย เป็นที่ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพจนสถาบันดนตรีในออสเตรเลียได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์แด่พระองค์ นอกจากนั้นยังทรงเป็นนักกีฬาชนะเลิศรางวัลเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ทรงได้รับยกย่องเป็น “อัครศิลปิน” ของชาตินอกจากทรงพระปรีชาสามารถด้านดนตรีแล้วยังทรงสร้างสรรค์งานจิตรกรรมและวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ เช่น ทรงพระราชนิพนธ์ แปลเรื่อง ติโตนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระและพระราชนิพนธ์เรื่องชาดกพระมหาชนก พระราชทานคติธรรมในการดำรงชีวิตด้วยความวิริยะอุตสาหะอดทนจนพบความสำเร็จแก่พสกนิกรทั้งปวง

        ปวงชนชาวไทยต่างมีความจงรักภักดีีเป็นที่ยิ่งดังปรากฏว่าในวาระสำคัญ เช่น ศุภวาระเถลิงถวัลยราชครบ 25 ปี พระราชพิธีรัชดาภิเษก 9 มิถุนายน 2514 พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530 พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกทรงดำรงสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ 2 กรกฎาคม 2531 มหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 9 มิถุนายน 2539 และในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 รัฐบาลและประชาชนชาวไทยได้พร้อมใจกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลด้วยความกตัญญูกตเวที สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างสมพระเกียรติทุกวาระ


พระราชสมภพ

ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
พระนามเต็ม รัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
พระนามเดิมของพระองค์ เดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่อเวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

การศึกษา

1
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนจิตรลดา ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๙ –๒๕๐๕ ที่ประเทศอังกฤษระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๙ – ๒๕๑๓
หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แล้วเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร) คณะการศึกษาด้านทหาร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำชุดที่ ๕-๖ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๒๑ และทรงได้รับปริญญานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ครั้นถึง พ.ศ.๒๕๓๓ ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักรด้วย
เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ปวงชนชาวไทยต่างมีความปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามาภิไธย ตามจารึกพระสุพรรณบัฏว่า
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ สยามมกุฎราชกุมาร”
ในมงคลวาระนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณในการพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งแสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมุ่งมั่นจะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อชาติบ้านเมือง และประชาชนชาวไทย เป็นที่ซาบซึ้งประทับใจพสกนิกรอย่างยิ่ง ดังความว่า
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
“ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยเฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรท่ามกลางสันนิบาตนี้ว่า
ข้าพเจ้าผู้เป็น สยามมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานไว้ด้วยชีวิต จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่าง โดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญสงบสุขและความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่”
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ